ลางสังหรณ์

ลางสังหรณ์คือ  การสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง เหมือนมีอะไรมาดลใจ หรือมีสัญญาณเตือนให้รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ลางสังหรณ์ เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ บางคนเชื่อว่า นกแสก นกเค้าแมวบินข้ามบ้าน เป็นลางว่าบ้านนั้นจะมีคนตาย  ตาเขม่นข้างขวา จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว เขม่นตาซ้าย จะมีข่าวดีเข้ามา จิ้งจกร้องทัก ห้ามออกจากบ้าน ปลวกทำรังที่เตาไฟ งูเข้ามาขดในบ้าน ถือเป็นอัปมงคลความเชื่อเรื่องลางสังหรณ์ เป็นสิ่งบอกเหตุให้เรารู้ตัว ให้รีบหาทางแก้ไข เพื่อจะได้ผ่อนคลายจากหนักให้เป็นเบา ส่วนลางสังหรณ์ทางความฝัน ไม่ว่าจะฝันดีหรือฝันร้าย เชื่อกันว่ามีเทวดามาบอก ซึ่งเหตุการณ์ในความฝันอาจเกิดขึ้นจริง หรือบางทีก็ไม่เกิดขึ้นเลย
ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ ไม่มีความเชื่อในเรื่องลางสังหรณ์เหมือนคนรุ่นเก่า จึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และตัวเราเอง ก็ไม่เคยเชื่อในเรื่องนี้เช่นกัน จนกระทั่งครั้งหนึ่ง ก่อนที่แม่เราจะได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา มันมีเหตุการณ์แปลก ๆ หลายอย่างที่เกิดขึ้น เพื่อมาเตือนให้เราได้รับรู้ว่าต่อจากนี้ไปจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นในครอบครัว
พรุ่งนี้เป็นวันออกพรรษา วันนี้แม่เลยตื่นแต่เช้ามืด เพื่อไปซื้อของที่ตลาด และต้องซื้อของเยอะเป็นเศษเพราะแม่จะนำของไปถวายพระที่วัดด้วย แม่เลยเรียกให้ฉันตื่นไปช่วยถือของ พอเปิดประตู แม่เดินออกไป เจ้าจูดี้ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน มันเห่าแม่เราเสียงดังมาก ทั้งเห่าทั้งขู่ ดูเหมือนมันเจอกับคนแปลกหน้า สายตามันดูหวาดระแวง กล้า ๆ กลัว ๆ แม่เราดุมันไปนิดนึง “จูดี้ เองเป็นอะไร นี่แม่นะจะเห่าทำไม” เจ้าจูดี้ก็ไม่หยุดเห่าสักที จนเราที่เดินตามหลังแม่มาต้องดุสมทบเข้าไปด้วย มันถึงจะยอมหยุดเห่า เรากับแม่เดินซื้อของได้เกือบครบแล้ว ฟ้าก็เริ่มสว่าง แต่ยังเหลือสาคูที่แม่จะเอาไปทำขนมซึ่งในตลาดไม่มีขาย เลยไปซื้อที่ร้านค้าใกล้ ๆ พอแม่ก้าวเข้าร้านไป ป้าคนขายของยิ้มทักทายอย่างเป็นมิตร แต่คำทักทายของป้าดูแปลก ๆ นะ “อำพัน ทำไมวันนี้หน้าตาดูซีด ๆ หมอง ๆ จังเลย” เราก็มองหน้าแม่ ก็ดูปกติดีนะ แม่ยิ้ม และตอบป้าเขาไปว่า “คงนอนไม่อิ่ม นอนดึกตื่นเช้าแหละจ้า” ซื้อของเสร็จเราก็พากันกลับบ้าน พอเปิดประตูรั้วเข้าบ้านปุ๊บ เจ้าจูดี้รีบวิ่งมา โดยปกติเจ้าจูดี้จะส่ายหางดุ๊กดิ๊ก และกระโดดไปกระโดดมา แต่วันนี้มันวิ่งแล้วเห่าเสียงดังมาก พ่อรีบวิ่งมาหน้าบ้าน เพราะคิดว่ามีคนมาหา แต่พอเห็นเรากับแม่ พ่อก็แปลกใจว่าทำไม เจ้าจูดี้ถึงได้เห่าเสียงดังขนาดนี้ “เองเป็นบ้าไปแล้วรึจูดี้” พ่อบ่นพึมพรำเบา ๆ แล้วพาเจ้าจูดี้ไปหลังบ้าน เรานำของไปวางไว้ในครัว และขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ เพราะต้องรีบไปทำงาน ส่วนแม่ก็เตรียมของทำกับข้าว เมื่อเราจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วก็ลงมา แม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วบางส่วน เราเห็นนกตัวหนึ่ง (น่าจะเป็นนกกระจอก) มันเกาะนิ่งอยู่ขอบหน้าต่างจ้องมองแม่เราอย่างไม่ละสายตา “แม่ ทำไมนกมันมาเกาะตรงนี้” แม่บอกว่า คงเป็นลูกนกหลงมา เดี๋ยวมันก็บินไปเองแหละ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรรีบทานข้าวแล้วออกไปทำงาน วันนี้เรากลับบ้านมืดหน่อย เพราะแวะคุยกับเพื่อน แม่ออกมาเปิดประตูรั้ว เจ้าจูดี้วิ่งมาเห่าแม่อีกแล้ว เห่าเสียงดังหัวฟัดหัวเหวี่ยง เราดุไปก็ยังไม่ยอมหยุด จนต้องเอามือไล่ตีให้มันไปไกล ๆ เราเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของเจ้าจูดี้แล้ว แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก คิดว่าแม่คงจะดุหรือตีมัน มันเลยโกรธ พอมันเห็นหน้าแม่ มันเลยเห่า พ่อนั่งดูทีวีที่ห้องโถง เราเข้าไปนั่งคุยกับพ่อเรื่องของเจ้าจูดี้ แม่ถือจานขนมมาให้ เรามองไปทางแม่แล้วใจหายแว๊บ ทำไมแม่หน้าซีดแบบนี้ เราเลยถามแม่ว่าเป็นอะไร แม่บอกเราว่าวันนี้รู้สึกเหนื่อย มึน ๆ ตึง ๆ ไม่ค่อยมีแรง อาจเป็นเพราะแม่ทำขนมและเตรียมของไปวัดทั้งวัน เราเลยบอกให้แม่รีบเข้านอน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าไปวัดอีก เรากำลังจะเดินขึ้นไปข้างบน นกตัวนี้อีกแล้ว มันบินวนไปวนมาในบ้าน แล้วมาเกาะตรงพนักพิงเก้าอี้ที่แม่นั่ง พ่อก็แปลกใจว่านกเข้ามาได้ยังไงใน ปิดประตูทุกบานแล้ว แม่บอกว่า ปล่อยมันเถอะ มันมาแต่เช้าแล้ว มันคงยังไม่ออกไปไหน พรุ่งนี้มันก็ไปแล้วล่ะ
ในคืนนั้น เราฝันว่าแม่หายไปไหนไม่รู้ เราหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ พอเราเปิดประตู้รั้วออกมา เห็นพระท่านยืนรอบิณฑบาตอยู่ แม่เตรียมของไว้เต็มโต๊ะ เรารีบนำของใส่บาตร แล้วถามพระว่าท่านเห็นแม่หนูไหมคะ พระท่านชี้ไปยังทุ่งนากว้าง เราเห็นแม่เดินไปตามทางคันนาเล็ก ๆ เรารีบกราบพระแล้ววิ่งตามแม่ไป แม่เดินไวมาก เราเรียกยังไงก็ไม่หยุด เราวิ่งตามสุดฝีเท้า ในที่สุดก็ตามแม่ทัน แม่หยุดอยู่ตรงทุ่งดอกไม้ มันดูสวยงามดั่งเทพนิยาย แม่บอกว่า แม่จะมาอยู่ที่นี่นะ นั่นไงบ้านของแม่ แม่ชี้ไปทางบ้านหลังนั้น ซึ่งประดับไปด้วยดอกไม้งดงามเกินคำบรรยาย แต่หลังบ้านเป็นเหวลึกน่ากลัวมาก ถ้าตกลงไปคงไม่เหลือแน่ “แม่…หนูขออยู่กับแม่ด้วยได้ไหม” แม่ตอบกลับว่า “ไม่ได้หรอกลูก ที่ตรงนี้เป็นที่ของแม่” แล้วแม่ก็หยิบเงินในกระเป๋าออกมาให้เรา 55 บาท แล้วบอกให้เรารีบกลับบ้าน เราคิดในใจว่าทำไมแม่งกแบบนี้นะ บ้านก็หวงที่จะให้อยู่ด้วย เราจึงถามกลับไปว่า “แม่ให้หนูแค่นี้เองเหรอ” แม่ยิ้ม แล้วแม่ก็บอกว่า “ทั้งชีวิตแม่มีแค่นี้” แล้วเราก็สะดุ้งตื่น เพราะพ่อเคาะประตูและตะโกนเรียกเราดังมาก พ่อบอกว่าแม่หลับ เรียกยังไงก็ไม่ตื่น เรารีบไปหาแม่ แม่นอนนิ่งเหมือนคนนอนหลับ ใบหน้าของแม่อมยิ้มดูมีความสุข เรากับพ่อกอดกันร้องไห้ ญาติพี่น้องต่างเข้ามาปลอบใจ และช่วยจัดการงานศพของแม่จนเสร็จลุล่วงไปด้วยดี หมอบอกถึงสาเหตุที่แม่จากไป เพราะหัวใจล้มเหลว
แม่จากเราไปในวัย 55 ปี เราเชื่อว่า แม่ของเรากลับไปอยู่ในภพภูมิที่ดี เพราะในขณะที่แม่ยังมีชีวิต อยู่ แม่เข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แม่เป็นคนจิตใจดี ไม่ฆ่าสัตว์ ปล่อยนก ปล่อยปลาอยู่เสมอ การที่มีอะไรมาดลใจ ทำให้เรารู้เหตุการณ์ล่วงหน้า บางครั้ง มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม ที่กำหนด ในขณะที่ทุกคนยังมีลมหายใจ หมั่นทำความดีไว้นะคะ